ใบส่งของ เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าผู้ขายสินค้าได้ส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อแล้ว เรามาทำความเข้าใจรายละเอียดกันได้ในบทความนี้
ใบส่งของ คืออะไร?
ใบส่งของ เป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าผู้ขายสินค้าได้ส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้ซื้อแล้ว ซึ่งในเอกสารใบส่งของจะต้องมีลายเซ็นของผู้ส่งของ (จากทางฝั่งผู้ขาย) และลายเซ็นผู้รับของ (จากทางฝั่งผู้ซื้อ)
สำหรับกระบวนการในการจัดส่งสินค้า เวลาที่ผู้ขาย ขายสินค้าให้แก่ผู้ซื้อก็จะต้องมีการตรวจนับจำนวนสินค้า พร้อมตรวจสอบคุณภาพสินค้าว่าได้มาตรฐานและจำนวนถูกต้อง และส่งสินค้าดังกล่าวไปพร้อมกับใบส่งของ ที่มีลายเซ็นจากเจ้าหน้าที่ทางฝั่งผู้ขาย เมื่อถึงสถานที่ของผู้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อก็จะมีแผนกรับสินค้ามาตรวจสอบว่าสินค้าที่ถูกส่งมานั้นถูกต้องตรงกันกับเอกสารใบส่งของหรือไม่ และผู้ที่มีหน้าที่รับสินค้าควรตรวจสอบในระบบด้วยว่าบริษัทได้สั่งซื้อสินค้าตรงตามของที่จัดส่งมา (Three way match – คือการสอบยันเอกสารระหว่าง ใบสั่งซื้อ ใบส่งของ และ ใบแจ้งหนี้ ว่าเอกสารถูกต้องตรงกันทั้งหมด)
ดูบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่ :
ตัวอย่างและรายละเอียดใบส่งของ
เราลองมาดูตัวอย่างของใบส่งของกันดังต่อไปนี้
ขอบคุณที่มาเอกสาร : https://www.babform.com/
ใบส่งของนั้นจะมีรายละเอียดต่างๆที่สำคัญดังต่อไปนี้
- เลขที่อ้างอิงเอกสาร : เล่มที่ เลขที่
ปกติแล้วในการออกเอกสารจะต้องมีการ Run เลขที่ให้ต่อเนื่องกันไป เวลาที่ทางบริษัทต้องการหาเอกสารก็ได้หาเอกสารได้ง่ายโดยดูจากเลขที่อ้างอิงเอกสาร นอกจากนี้การ Run เลขที่เอกสารยังช่วยตรวจสอบในเรื่องของความครบถ้วนได้การบันทึกบัญชีได้อีกด้วย โดยเช็คจากเลขสุดท้าย ว่าได้ถูกบันทึกบัญชีเข้าไปตามลำดับรึยัง
- คำว่า “ใบส่งของ” บนเอกสาร
เพื่อให้ทราบว่าเอกสารดังกล่าวคือใบอะไร ซึ่งเอกสารแต่ละอย่างจะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไปดังต่อไปนี้
ใบส่งของ – เพื่อเป็นหลักฐานในการส่งของ ตามที่อธิบายไปแล้วในหัวข้อก่อนหน้านี้
ใบแจ้งหนี้ – เพื่อเป็นหลักฐานว่าบริษัทผู้ซื้อสินค้าเป็นหนี้ผู้ขายสินค้า และมีภาระที่ต้องชำระหนี้ให้แก่ผู้ขาย
ใบกำกับภาษี – เพื่อเป็นหลักฐานในการเกิดภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยที่ผู้ขายมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีขาย และผู้ซื้อมีสิทธิ์ในการขอเคลมภาษีซื้อได้
- วันที่
เพื่อให้ทราบว่าการส่งของตามใบส่งของนั้นเกิดขึ้น ณ วันที่เท่าไหร่
- ชื่อผู้ขาย
เพื่อแสดงรายละเอียดรายชื่อของผู้ขาย ว่าผู้ขายสินค้านั้นเป็นใคร
- ที่อยู่ผู้ขาย
เพื่อแสดงรายละเอียดที่อยู่ของผู้ขาย ว่าผู้ขายสินค้านั้นอยู่ที่ไหน
- นามลูกค้า (ชื่อผู้ซื้อและที่อยู่ผู้ซื้อ)
เพื่อแสดงรายละเอียดรายชื่อของผู้ซื้อ ว่าผู้ซื้อสินค้านั้นเป็นใคร และเพื่อแสดงรายละเอียดที่อยู่ของผู้ซื้อว่าผู้ซื้อสินค้านั้นอยู่ที่ไหน
- รายละเอียดสินค้า
ในใบส่งสินค้าควรที่จะมีรายละเอียดของสินค้าที่จัดส่งดังนี้
- ลำดับที่
- รายการ หรือ รายละเอียดสินค้า
- จำนวนสินค้า
- หน่วย
- ราคา / หน่วย
- รวมเงินในแต่ละสินค้าที่จัดส่ง
- จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น
ในรายละเอียดสินค้าจะมีประโยชน์ทำให้ทราบว่าสินค้าที่จัดส่งคืออะไร ทำให้ผู้รับสินค้าสามารถตรวจสอบสินค้าที่จัดส่งมา ว่าถูกต้องตรงกันตามเอกสารหรือไม่ (Three way match – คือการสอบยันเอกสารระหว่าง ใบสั่งซื้อ ใบส่งของ และ ใบแจ้งหนี้ ว่าเอกสารถูกต้องตรงกันทั้งหมด)
- ลายมือชื่อผู้รับของ (เพื่อเป็นหลักฐานในการรับของให้แก่ผู้ขาย)
- ลายมือชื่อผู้ส่งของ (เพื่อเป็นหลักฐานในการส่งของให้แก่ผู้ซื้อ)
ใบส่งของ ใบแจ้งหนี้ ใบกำกับภาษี แตกต่างกันอย่างไร?
หลายคนอาจจะยังสงสัยว่าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการส่งของนั้นทำไมมีหลายแบบจัง โดยมีทั้ง ใบส่งของ ใบแจ้งนี้ ใบกำกับภาษี เอกสารต่างๆเหล่านี้มีความแตกต่างกันอย่างไร?
คำตอบก็คือ เอกสารแต่ละอย่างจะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไปดังต่อไปนี้
ใบส่งของ – เพื่อเป็นหลักฐานในการส่งของ ตามที่อธิบายไปแล้วในหัวข้อก่อนหน้านี้
ใบแจ้งหนี้ – เพื่อเป็นหลักฐานว่าบริษัทผู้ซื้อสินค้าเป็นหนี้ผู้ขายสินค้า และมีภาระที่ต้องชำระหนี้ให้แก่ผู้ขาย
ใบกำกับภาษี – เพื่อเป็นหลักฐานในการเกิดภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยที่ผู้ขายมีหน้าที่ต้องนำส่งภาษีขาย และผู้ซื้อมีสิทธิ์ในการขอเคลมภาษีซื้อได้
ซึ่งในความเป็นจริงในธุรกิจเอกสารต่างๆเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องแยกกันคนละใบ แต่อาจมารวมกันในใบเดียวกันได้ เพราะข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับการส่งของนั้นเหมือนกันอยู่แล้ว เช่น
ใบส่งของ / ใบกำกับภาษี – เอกสารแบบนี้จะพบได้บ่อยมาก คือเอกสารดังกล่าวจะถือเป็นหลักฐานในการส่งของด้วย และถือเป็นหลักฐานในการเกิดภาษีมูลค่าเพิ่ม ในใบเดียวกันไปเลย (Tax point ของภาษีมูลค่าเพิ่มจะเกิดขึ้นเมื่อมีการส่งของ) โดยผู้ขายอาจมีการส่ง ใบแจ้งหนี้ ไปอีกรอบหรือไม่ก็ได้ หากไม่ได้ส่งใบแจ้งหนี้ไปอีกรอบก็จะถือว่าเอกสารนี้ ใบส่งของ / ใบกำกับภาษี แทนใบแจ้งหนี้ไปเลยก็มี
ใบแจ้งหนี้ / ใบส่งของ / ใบกำกับภาษี – เอกสารแบบนี้ก็จะสามารถพบได้ คือเอกสารดังกล่าวจะถือเป็นหลักฐานในการแจ้งหนี้ หลักฐานในการส่งของ และถือเป็นหลักฐานในการเกิดภาษีมูลค่าเพิ่ม ในใบเดียวกันไปเลย
สรุปใบส่งของ
ใบส่งของเป็นหลักฐานที่สำคัญในการส่งมอบสินค้า ดังนั้นผู้ขายจึงควรออกใบส่งของให้มีข้อมูลที่ครบถ้วน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ครับ
ติดต่อมาได้เลยครับ ผมยินดีให้คำปรึกษา
(คุณวิน 087-6732884 Line ID : @618kssyt)
ติดต่อ Line ดูรีวิวจากลูกค้า